หากลูกเป็นฆาตกรสังหารหมู่ จะรับมืออย่างไร ? คำถามข้างต้นคือสิ่งที่ อีวา (ทิลดา สวินตัน) ต้องเจอ เมื่อ เควิน (เอซรา มิลเลอร์) ทำในสิ่งที่สังคมไม่มีทางให้อภัยได้อย่างการสังหารหมู่เพื่อนร่วมโรงเรียน ทำให้อีวาผู้เป็นแม่ต้องย้อนกับมาพิจารณาตัวเองว่าสิ่งที่ลูกเธอทำไปนั้นเป็นเพราะอีวาเลี้ยงเขามาไม่ดีหรือว่าเควินเป็นโรคจิตโดยสันดานอยู่แล้ว
ภาพยนตร์จะเล่าถึงสิ่งที่ตามหลอกหลอนคนเป็นแม่ฆาตกรทั้งภายในและภายนอก ตัดสลับกับฉากในอดีตอยู่ตลอด ซึ่งต้องใช้เวลาสักพักถึงจะปรับตัวเข้ากับการเล่าเรื่องแบบนี้ได้ นอกจากนี้เรายังต้องตีความการกระทำและคำพูดของตัวละครอยู่ตลอดเวลาเพราะเรื่องราวของครอบครัวนี้เป็นเรื่องความรักที่บิดเบือนไปมาก
อีวาก็ยังไม่พร้อมที่จะมีลูกเนื่องจากทำงานเกี่ยวการท่องเที่ยวและการที่เธอมีลูกนั้นแปลว่ามันจะทำให้เธอไปไหนไม่ได้ช่วงหนึ่ง ส่วนเควินก็เป็นเด็กพิเศษที่มักจะหาเรื่องมางัดกับแม่ตัวเองอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งถ้าเราเห็นการกระทำของเควินแต่ละอย่างแล้ว เชื่อเลยว่าในหัวเราจะมีคำถามว่า “ทำไม” อยู่เต็มไปหมด
ด้านแฟรงค์กิ้นผู้เป็นพ่อตัวหนังก็ไม่ได้พูดถึงมากสักเท่าไรนอกจากสื่อถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเควินที่ (เหมือน) เป็นไปด้วยดี เพราะเควินจะสนิทสนมกับพ่อมากและไม่เคยมีปัญหากับพ่อเลยสักครั้ง โดยสิ่งนี้เองก็ขัดกับปมโอดิปุสคอมเพล็กซ์ที่ตอนเด็กผู้ชายจะเข้าหาแม่และจะมองพ่อเป็นศัตรูที่แย่งความรักไปจากแม่ (หรือความจริงเควินอาจคิด แต่แสดงออกไปตรงข้ามอย่างสุดโต่งโดยใช้พ่อเป็นเครื่องมือเพื่อเรียกร้องความรักจากแม่) และเมื่อมาถึงจุด ๆ หนึ่งความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ก็ยากที่ย้อนกลับเมื่อเควินได้ทำการสังหารหมู่และถูกจับกุมในที่สุด
นอกจากผู้กำกับ ลินน์ แรมเซย์ จะใช้วิธีการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาดแล้ว เธอยังสอดแทรกซาวด์ประกอบฉากมาอยู่เรื่อย ๆ ทำให้เนื้อเรื่องที่หดหู่อย่างในหนังดูน่าติดตามและซอฟท์มากขึ้น อีกทั้งยังใส่สัญลักษณ์เรื่องสีเข้ามาในเรื่องอีกด้วย
ด้านบทพูดและมุมกล้องก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะบทพูดที่พูดแต่ละคำสามารถทำให้เราสามารถดำดิ่งไปสู่จิตใจก้นบึ้งของตัวละคร อีกอย่างหนึ่งที่ต้องชมเป็นพิเศษคือการแสดงของทิลดา สวินตันที่แสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกันประกอบกับตัวบทที่เอื้อให้เธอแสดงความสามารถออกมาได้เต็มที่
ซึ่งเราอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า We Need to Talk about Kevin เป็นหนังแนวดราม่าทริลเลอร์ขนานแท้ที่ชูประเด็นการเลี้ยงลูกในครอบครัวเป็นประเด็นหลักและตัวภาพยนตร์ทั้งบท มุมกล้อง การแสดงก็ทำออกมาได้อย่างดี ภาพรวมอยู่ประมาณเกรด B+ ไปจนถึง A
นอกจากนี้ภาพยนตร์ยังชวนติดตามโดยทำให้เราร่วมหาคำตอบว่าสิ่งเควินทำ “ทำไปทำไม ? เพราะอะไร ?” อยู่ตลอดทั้งเรื่อง เชื่อเลยว่าถ้าคุณดูจบคุณจะต้องหาใครสักคนมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเควินเหมือนกันชื่อที่หนังตั้งไว้
ดู We Need to Talk about Kevin คลิก