ปี 2014 นับว่าเป็นปีทองของเธออย่างแท้จริงสำหรับ 'จูลีแอนน์ มัวร์' ที่กวาดรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมมาแทบทุกสถาบัน ไล่มาตั้งแต่เทศกาลหนังเมืองคานส์ จาก 'Maps to the Stars' ไปจนถึงลูกโลกทองคำ จาก "Still Alice" แล้วล่าสุดก็คว้ารางวัลจากเวทีใหญ่อย่างออสการ์ได้อีกด้วยด้วย จากเรื่อง "Still Alice" เช่นกัน โดยส่วนตัวพอได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงพา "Still Alice" กวาดรางวัลไปทั่วหล้าชนิดไร้คู่แข่ง เพราะเธอรับบทผู้ป่วยอัลไซเมอร์ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆไม่เล่นใหญ่เล่นล้น หรือที่เรียกว่า 'เล่นน้อยแต่ได้มาก'
ด้านตัวหนังทั้งเรื่องก็เช่นกัน ออกไปในทางที่เป็นธรรมชาติดูสมจริง ไม่มีฉากโอเวอร์แอ๊คติ้ง หรือบทพูดที่ดูยัดเยียดคำคมเข้าปากนักแสดง ทั้งๆที่พล็อตเรื่องอำนวยให้ขยี้คนดูให้นั่งน้ำตากแตกพรากๆ แค่เพียงให้นักแสดงเล่นใหญ่และใส่ดนตรีบิ๊วอารมณ์หนักกว่านี้หน่อย แต่หนังกลับไม่เลือกเดินทางนั้น หนังค่อยๆพาเราไปดูชีวิตของผู้ป่วยอัลไซเมอร์อย่างเรียบง่าย แต่มันอบอวลไปด้วยกลิ่นของความเป็นจริงที่เราสัมผัสได้ โดยเฉพาะใครที่อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรคนี้จะรู้ได้เลยว่ามันจริงแค่ไหน ทั้งในส่วนของผู้ป่วยเอง และคนดูแลที่ต่างฝ่ายต่างต้องเผชิญเรื่องราวที่หนักหนาเอาการ ในการที่จะดูแลและประคับประคองซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้หนังยังสะท้อนให้เราเห็นว่าความทรงจำนั้นมีค่ามากแค่ไหน เพราะมันหมายถึงการมีอยู่ของตัวเราที่เราสามารถรับรู้ได้ หากเราไร้ซึ่งความทรงจำแม้คนอื่นจะจำรูปลักษณ์ของเราได้ จำได้ว่าเราคือใคร แต่ตัวของเรานั้นเหมือนกลายเป็นคนใหม่เพราะเราไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่เราเคยประสบพบมาในอดีต ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่เพิ่งลืมตาขึ้นมาดูโลก จึงเป็นที่มาของคำตัดพ้อของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่ว่า 'เป็นมะเร็งยังดีเสียกว่า เพราะอย่างน้อยก็ยังดูมีชีวิตมากกว่าเป็นอัลไซเมอร์ที่ไม่ต่างอะไรกับการตายทั้งเป็น แต่ถึงอย่างไรการไม่มีโรค ก็เป็นลาภอันประเสริฐที่สุด อย่าลืมดูแลสุขภาพและเก็บรักษาความทรงจำดีๆเอาไว้ให้นานเนิ่นนาน เพราะนั่นคือชีวิตทั้งชีวิตของเรา เรื่องไม่ดีต่างๆอย่าเก็บมาไว้ในหัวให้เปลืองพิ้นที่ความทรงจำของเราเลยนะ