ฉีเคอะ ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ที่ได้กลายเป็นตำนาน เขาเป็นนักทำหนังฮ่องกงที่โด่งดังมากที่สุดคนหนึ่ง งานของเขาเริ่มต้นเมื่อปลายยุค 80 และได้กลายเป็นผู้กำกับที่น่าจับตามองมากที่สุดจากเทคนิคการเล่าเรื่องแบบใหม่ อย่างเรื่อง ศึกวังผีเสื้อ (Butterfly Murder) ที่ได้กลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์ฮ่องกง
ผลงานการกำกับและโปรดิวซ์ของฉีเคอะได้ ถูกเรียกว่าเป็น “ยุคทอง” แห่งวงการภาพยนตร์ฮ่องกง อย่าง โหด เลว ดี (A Better Tomorrow), โปเยโปโลเย (A Chinese Ghost Story) และ หวงเฟยหง (Once upon a Time in China) ซึ่งได้กลายเป็นภาพยนตร์ที่เป็นที่ยอมรับจากตลาดภาพยนตร์นานาชาติเป็นอย่างสูง และล่าสุดผู้กำกับยอดฝีมือก็ได้กลับมาอีกครั้ง กับภาพยนตร์แอ๊คชั่นฟอร์มยักษ์แห่งปี 'The Taking of Tiger Mountain ยุทธการยึดผาพยัคฆ์' ที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเรา 5 พฤศจิกายน 2558 นี้
เกี่ยวกับภาพยนตร์
ภาพยนตร์เรื่อง The Taking of Tiger Mountain ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมชื่อดังของ ฉู โบ ในชื่อ “Track in the Snowy Forest” เป็นเรื่องราวในช่วงสงครามกลางเมืองในปี คศ. 1946 เมื่อกลุ่มโจรที่ปกครองแผ่นดินในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจีนได้คุกคามชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนในแถบนั้นนำโดยผู้นำจิตใจโหดเหี้ยมอย่าง “ประมุขเหยี่ยว” (โทนี่ เหลียง กา ไฟ) เขาได้ยึดป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งอยู่บนผาพยัคฆ์ พร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์การตั้งรับอย่างสมบูรณ์แบบ
หน่วยรบ 203 ของกองกำลังปลดปล่อยประชาชน นำโดย “ผู้กอง 203” (หลิน เกิงซิน) กำลังเดินทางข้ามดินแดนแห่งทิศอีสานแห่งประเทศจีน เขาได้ปะทะกับกลุ่มโจรของประมุขเหยี่ยวที่กำลังปล้นชาวบ้านทำให้เขาได้รู้ว่าที่แห่งนี้กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ทำให้เขาตัดสินใจที่จะอยู่และต่อสู้กับกลุ่มโจรกบฏนี้
ทางการได้ช่วยเหลือหน่วยรบ 203 โดยส่งสายลับผีมือดีเข้ามาช่วย “หยาง” (จาง ฮั่นหยู) เพื่อเข้าแทรกซึมเข้าไปอยู่ในกลุ่มโจรของประมุขเหยี่ยว หน้าที่ของเขาคือการล้วงความลับและศึกษาจุดอ่อนของป้อมปราการแห่งนี้เพื่อให้ผู้กอง 203 ได้นำทัพมายึดภาพยัคฆ์นี้ให้ได้
บทสัมภาษณ์ผู้กำกับ ฉีเคอะ
“ครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับเรื่องราววรรณกรรมของ Track in the Snowy Forest คือเมื่อครั้งที่ผมไปดูในโรงละครโอเปร่าเมืองปักกิ่ง เรื่องราวของมันคือการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบระหว่างทหารและกลุ่มโจร และสิ่งที่ทำให้ผมทึ่งก็คือเรื่องราวนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมจะไม่สร้างให้มันดูเป็นภาพยนตร์เชิงประวัติศาสตร์ หรือ ให้มันออกเป็นแนวละครเวที ตรงกันข้าม ผมจะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เป็นภาพยนตร์ร่วมสมัย และเชื้อเชิญคนดูทุกรุ่น ทุกสมัยให้มาสัมผัสกับเรื่องราวและการถ่ายทอดอารมณ์ของเรื่องที่เกิดขึ้น ในโลกปัจจุบัน
เราทุกคนมีฮีโร่ที่เรารักและรู้จัก แต่ยังมีฮีโร่บางคนที่เรานั้นอาจไม่เคยรู้จักหรือหลงลืมไป ซึ่งคนๆนั้นก็เป็นคนที่ยอมทุ่มเทเสียสละทั้งชีวิตเพื่อปกป้องเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ผมเชื่อว่าผู้คนหลายคนหลงลืมชื่อฮีโร่ไปอย่างง่ายดาย และการที่เขาตัดสินใจสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ The Taking of Tiger Mountain นี้ ก็เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการรำลึกถึงพวกฮีโร่เหล่ากล้ากลุ่มนี้”